4 ปี ที่ใช้เวลาเรียนรู้ ทบทวนชีวิต จนออกมาเป็นหนังสือเล่มแรก บนเส้นทางสู่การเป็นโค้ชเพื่อการเปลี่ยนแปลง
คำถามสุดท้าย คือ ฉันจะไปไหน?
การที่ฉันได้ใช้เวลากลับเข้ามาภายใน และสำรวจตนเอง ทำให้ฉันได้รู้จักและค้นพบว่า เบ้าหลอมชีวิตที่มาจากตายาย ทำให้ฉันปรารถนาจะมีชีวิตเรียบง่าย สุข สบายใกล้ชิดธรรมชาติ การเลี้ยงดูของป้าและการต่อสู้ชีวิต หล่อหลอมให้ฉันเป็นคนทำงาน อดทน ขยัน ทุ่มเท มุ่งมั่น และ สู้ชีวิต
ครึ่งแรกของชีวิต ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงขับจากภายนอก
ความขาดแคลนและปมชีวิตในวัยเด็กทำให้ฉันมีแรงขับมหาศาลในตนเอง แรงขับเคลื่อนชีวิตช่วง 50 ปีแรก คือ ความสำเร็จและการยอมรับจากภายนอก แรงขับนี้ ทำให้ฉันเลือกที่จะใช้ความสำเร็จเป็นแรงขับในชีวิต ทำให้ฉันเป็นเด็กเรียนเก่ง ทำงานเก่ง คิดเก่ง ต้องการความปลอดภัย ความมั่นคงในชีวิต ต้องการการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของทีมและองค์กร ต้องการความมั่นใจ ภาคภูมิในในตนเอง ฉันเติมเต็มชีวิตด้วยการยอมรับจากภายนอก ชื่อเสียง เงินทอง ตำแหน่ง และอำนาจ ฉันวิ่งออกห่างจากเพื่อนกลุ่มวัยเด็ก วัยรุ่น วัยนักศึกษา ทำงานหนักมาตลอดเพื่อขึ้นไปยังจุดสูงสุดของตนเอง
เมื่อแรงขับที่ต้องการการยอมรับได้ขับเคลื่อนชีวิตขึ้นไปจนถึงจุดหนึ่ง การใช้ชีวิตที่ออกห่างจากธรรมชาติที่แท้จริงของตนเอง ซึ่งโหยหาชีวิตเรียบง่าย สุข สบายใกล้ชิดธรรมชาติ ทำให้เสียงเรียกภายในตนเองมีพลังมากขึ้น จนเกิดภาวะวิกฤติวัยกลางคน และนำมาซึ่งการปิดประตูชีวิตการทำงานประจำ และออกก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการแสวงหา
ครึ่งหลังของชีวิต ขับเคลื่อนด้วยแรงขับจากภายใน
แรงขับในชีวิตเรื่องที่ต้องการการยอมรับจากภายนอกนั้น มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนชีวิตของฉันน้อยลงเรื่อยๆ ฉันเชื่อว่าการฝึกฝนภายในตนเองแนวจิตตปัญญาและการโค้ชเพื่อชีวิต ทำให้ฉันยอมรับตนเองจากภายในมากขึ้น จนฉันไม่ต้องพิสูจน์ตนเองหรือเรียกร้องความสนใจจากบุคคลอื่นมากมายอีกต่อไป
สิ่งที่ฉันได้ค้นพบ คือ แรงขับที่สำคัญสำหรับฉันที่จะใช้ชีวิตช่วงหลังอายุ 50 ปี คือ ชีวิตที่มีความสุข มีคุณค่า และมีความหมาย โดยที่ฉันให้คำอธิบายแก่ตนเอง ดังนี้
ชีวิตที่มีความสุข เป็นชีวิตที่พอเพียง เรียบง่าย สุข สบาย อยู่กับครอบครัว ท่องเที่ยว พักผ่อน ทำกิจกรรมที่ชอบ และทำงานที่รู้สึกอยากทำ
ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย การที่ฉันได้ใช้องค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์จากการทำงานรวมถึงประสบการณ์ชีวิตเพื่อที่จะแบ่งปัน อุทิศตน และทุ่มเทพลังช่วยเหลือผู้อื่น และในขณะเดียวกันฉันเองก็ได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเองและเติบโตไปพร้อมๆกันด้วย
ในช่วงครึ่งหลังของชีวิต ฉันเลือกใช้ชีวิตที่มีความสุข มีคุณค่า และมีความหมาย หมายถึง การใช้ชีวิตที่ฉันพึงพอใจ มีความสุขในปัจจุบันกับคนที่สำคัญในชีวิต และได้ใช้คุณสมบัติด้านบวก หรือความเป็นตัวตนเพื่ออุทิศตนแก่คนสำคัญ ผู้อื่น และสังคม ฉันตั้งใจว่าจะดูแลชีวิตของตนเอง ทำงานอย่างสมดุล และก้าวเดินบนเส้นทางของโค้ชเพื่อการเปลี่ยนแปลงต่อไป
ชีวิตใหม่…บนเส้นทางสู่การเป็นโค้ช
เมื่อแรกเข้าเรียนในห้องเรียนจิตตปัญญา ฉันเคยเปรียบเทียบตนเองเป็นนกอินทรีที่อยู่ในช่วงเปราะบาง กำลังบ่มเพาะตนเองให้ปาก เล็บ และขนงอกมาใหม่แข็งแรง สวยงาม เพื่อใช้ชีวิตอีกช่วงหนึ่ง
.
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ขณะนี้ ฉันรู้สึกว่าตนเองเป็นนกที่โผบินได้อีกครั้ง ฉันกำลังบินไปสู่โลกกว้าง เพื่อพบและทำสิ่งที่น่าสนใจ ใช้ชีวิตช่วงหลังอายุ 50 อย่างมีความสุข มีคุณค่า และมีความหมาย
.
ก้าวไปตามใจฝัน
ฉันเชื่อว่า ฉันเป็นนักเดินทาง การเดินบน “เส้นทางสู่การเป็นโค้ช” เป็นเส้นทางเดียวกับการเรียนรู้บน “เส้นทางชีวิต” การเดินทางของฉันครั้งนี้ไม่แบ่งแยกระหว่างงานและชีวิต
และ
ฉันหวังว่าเราจะได้พบกันบนเส้นทางชีวิต ในวันใดวันหนึ่ง
———————————–
18 พฤศจิกายน 2563
เกี่ยวกับผู้เขียน: อ้อม ทัศนีย์ จารุสมบัติ, PCC โค้ชที่เดินบนเส้นทางชีวิตที่ใช่! เติบโตกับการสนับสนุนให้ผู้คนทำ Life Visioning ออกแบบ และ ใช้ชีวิตที่ใช่! ในแบบของตนเอง
ปัจจุบันเป็น Executive Coach, Facilitative Coach สนับสนุนผู้นำให้ใช้ People Skills หรือ Soft Skills เช่น Coaching, Facilitation, Conversation, Dialogue, Feedback, Recognition สร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการอยู่ร่วม อยู่อย่างมีความหมาย
ติดต่อ:
Website: www.couragetocoach.net
Facebook: Tasanee Jarusombuti
LinkedIn: Tasanee Jarusombuti
Facebook Page: Courage to Coach
Official Line @couragetocoach
Email: couragetocoach@gmail.com
Tel: 086-165-6993